วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประเพณีนบพระเล่นเพลง - ประเพณีไทยของชาวกำแพงเพชร

ประเพณีนบพระ-เล่นเพลง ของชาวกำแพงเพชรนี้ เป็นประเพณีไทยที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยพญาลิไทได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากลังกา มาบรรจุไว้ที่องค์พระเจดีย์วัดบรมธาตุ ตำบลนครชุม จึงทำให้เกิดการจัดขบวนของผู้ครองนครต่างๆ ไปนมัสการพระบรมธาตุ เป็นเหตุให้เกิดประเพณีนบพระ-เล่นเพลงขึ้น

อนุเสาวรีย์พญาลิไท
อนุเสาวรีย์พญาลิไท
ประเพณีนบพระ-เล่นเพลงของชาวกำแพงเพชรนั้น ได้นำคำในศิลาจารึกนครชุม หลักที่ ๓ มาเป็นชื่องาน มีความว่า "ผู้ใดไหว้นบ กระทำบูชาพระศรีรัตนมหาธาตุ และพระศรีมหาโพธิไซร้ มีผล อานิสงส์พร่ำเสมอดังได้นบพระผู้เป็นเจ้า..." คำว่า "นบ" เป็นคำโบราณ แปลว่า ไหว้ ดังนั้น การนบพระจึง หมายความว่า “ไหว้พระ”
ประเพณีนบพระเล่นเพลง
ขบวนแห่เพื่อไป "นบพระ" อันสวยงามตระกาลตา

ประเพณีนบพระเล่นเพลง
มีการจำลองขบวนแห่เพื่อไป "นบพระ" เหมือนในสมัยอดีตกาล
สำหรับคำว่าเล่นเพลง คือ การละเล่นสนุกสนานพื้นบ้าน โดยมีการร้องเพลงพื้นบ้าน มีชาย หญิงร่วมร้องและร่ายรำเป็นที่สนุกภายหลังจากได้ทำบุญทำกุศลแล้ว

ประเพณีนบพระ-เล่นเพลงในแผ่นดินพระเจ้าลิไท จัดครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๖ แต่หลังจากนั้นด้วยความร่วมมือของจังหวัดกำแพงเพชร กรมศิลปากร และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ในการจัดงานครั้งนั้นทางผู้จัดได้นำเอาประวัติศาสตร์ในแผ่นดินพระเจ้าลิไท ตอนเสด็จ พระราชดำเนินนำพระมเหสี ข้าราชบริพาร ตลอดจนไพร่ข้าแผ่นดินชาวเมืองชากังราว และเมืองนครชุม ไปนมัสการพระพุทธบาทที่เขาสุมนกูฏ เมืองสุโขทัย แล้วมาถวายสักการะบูชาพระศรีรัตนมหาธาตุ ณ วัดพระบรมธาตุ นครชุม มาเป็นตอนสำคัญของงาน

ประเพณีนบพระ-เล่นเพลงจะจัดขึ้นในช่วง วันเพ็ญ เดือน ๓ ( เดือนกุมภาพันธ์-ต้นเดือนมีนาคม ของทุกปี )

สถานที่จัดงาน คือ บริเวณวัดพระบรมธาตุนครชุม จะมีการแสดงพระราชประวัติ ตอนพระ เจ้าลิไทไปทำการนบพระ พร้อมด้วยมเหสี และข้าราชบริพาร เริ่มต้นขบวนที่บริเวณวัดพระบรมธาตุนครชุม เมื่อนบพระเรียบร้อยแล้วก็มีการรำโคม รำถวายเป็นพุทธบูชา จากนั้นขบวนพยุหยาตราทางสถลมารคของ พระเจ้าลิไทก็เคลื่อนออกจากวัดเข้าสู่เมืองกำแพงเพชร

ประเพณีนบพระเล่นเพลง
ภาพถ่าย งานประเพณีนบพระ-เล่นเพลง โดย อาจารย์เรืองศักดิ์  แสงทอง
ตอนค่ำมีมหรสพแสดงให้ชมหลายอย่างด้วยกัน และที่สำคัญคือ การเล่นเพลง ที่แสดงโดย นักศึกษาวิทยาลัยครูกำแพงเพชร เล่นได้ดีเป็นที่สนใจของผู้มาเที่ยวงาน ส่วนบริเวณวัดพระแก้ว มีการแสดง แสงและเสียง เรื่องเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของเมืองกำแพงเพชร ส่วนในภาคกลางวันมีการออกร้าน และบริการนำเที่ยวโบราณสถาน โดยใช้เกวียนเป็น พาหนะ โดยนำมาจากอำเภอพรานกระต่าย

ประเพณีนบพระเล่นเพลง
ภาพถ่าย งานประเพณีนบพระ-เล่นเพลง โดย อาจารย์เรืองศักดิ์  แสงทอง

ขอบคุณ :
www.panyathai.or.th
www.kamphaengphet.go.th
personal.swu.ac.th
www.bloggang.com/viewblog.php?id=boonhaksa&date=05-08-2009&group=5&gblog=2

ประเพณีปอยเหลินสิบเอ็ด (แห่จองพารา) จังหวัดแม่ฮ่องสอน

ประเพณีจองพารา ( ประเพณีปอยเหลินสิบเอ็ด ) คือประเพณีไทยอันเลื่องชื่อของชาวจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งประเพณีปอยเหลินสิบเอ็ดนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานประเพณีออกพรรษา

การแห่จองพาราของจังหวัดแม่ฮ่องสอน
ประเพณีแห่จองพาราของจังหวัดแม่ฮ่องสอน


สำหรับคำว่า จองพารา ในภาษาไทยใหญ่จะแปลว่า ปราสาทพระ ดังนั้นในงานประเพณีปอยเหลินสิบเอ็ด จึงมีการสร้างปราสาทเพื่อคอยต้อนรับเสด็จพระพุทธเจ้าที่จะเสด็จลงมาจากสรวงสวรรค์

จองพาราของชาวแม่ฮ่องสอน
จองพารา ในภาษาไทยใหญ่จะแปลว่า ปราสาทพระ
 ประเพณีปอนเหลินสิบเอ็ดจัดขึ้นระหว่างวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ไปจนถึงถึงวันแรม 8 ค่ำ เดือน 11 โดยก่อนวันงานจะมีการจัดงานประเพณีแบบไทยๆขึ้นเรียกว่างานตลาดนัดออกพรรษ มีการนำสินค้าต่างๆมาวางขาย เช่น อาหาร ขนม ดอกไม้ และเครื่องไทยทานต่างๆมาวางขาย ชาวบ้านก็จะซื้อข้าวของเครื่องใช้ต่างๆเหล่านี้ในการเตรีมการสร้าง จองพารา ซึ่งมีลักษณะเป็นปราสาทจำลองที่ทำมาจาก โครงไม้ไผ่หรือวัสดุตามธรรมชาติต่างๆ มีการตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงาม จากนั้นก็จะ ยกจองพารา ที่สร้างขึ้นมานี้มาตั้งไว้ที่หน้าบ้าน ชายคาบ้าน หรือมำไปตั้งไว้ที่วัดก็ได้

การยกจองพารา
การยกจองพารา ที่สร้างขึ้นมานี้มาตั้งไว้ที่หน้าบ้าน ชายคาบ้าน หรือมำไปตั้งไว้ที่วัดก็ได้
ในวันขึ้น 15 ค่ำ อันเป็นวันออกพรรษานั้น ตั้งแต่เช้าตรู่ประชาชนพร้อมใจกันไปทำบุญตามวัด บางวัดจัดให้มีการตักบาตรเทโว ส่วนในตอนเย็นจะนำดอกไม้ธูปเทียนและขนมข้าวต้มไปขอขมาบิดามารดาและญาติผู้ใหญ่

ก่อนย่ำรุ่งของวันแรม 1 ค่ำ จะมีพิธี ซอมต่อ คือการอุทิศเครื่องเซ่นแก่สิ่งที่ชาวไต ( ชาวไทยใหญ่ ) ถือว่ามีบุญคุณในการดำเนินชีวิต โดยนำกระทงอาหารเล็กๆ ที่จุดเทียนติดไว้ด้วยไปตั้งไว้ตามสถานที่ต่างๆ แสงประทีปนับร้อยนับพันดวงตามวัด สถูป และบ้านเรือนในตอนใกล้รุ่งเป็นภาพที่งดงามน่าประทับใจมาก

ชาวไทยใหญ่หรือชาวไต
ชาวไทยใหญ่มีประเพณีและวัฒนธรรมที่สวยงามมากมาย
 ตลอดระยะเวลาของการจัดงานตั้งแต่แรม 1 ค่ำไปจนถึงแรม 8 ค่ำ จะมีการถวายข้าวที่จองพาราวันละครั้งและจุดเทียนหรือประทีปโคมไฟไว้ตลอดในช่วงเวลาตลอดเทศกาล จะมีการละเล่นเฉลิมฉลองหลายชนิด เช่น ฟ้อนโต เป็นการแสดงที่นิยมกันอีกชุดหนึ่ง ตัวโตนั้นเชื่อกันว่าเป็นสัตว์ป่าในหิมพานต์ชนิดหนึ่ง มีเขาคล้ายกวางและมีขนยาวคล้ายจามรี มีลักษณะร่ายรำคล้ายการเชิดสิงโตของจีน นอกจากนี้ ยังมีการแสดงอื่นๆ อีกหลายชุด ได้แก่ ฟ้อนดาบ หรือที่เรียกว่า ฟ้อนก้าแลว ฟ้อนไต เป็นการฟ้อนต้อนรับผู้มาเยือน รำหม่อง ส่วยยี เป็นการรำออกท่าทางคล้ายพม่า และ มองเซิง เป็นการรำประกอบเสียงกลองมองเซิง เป็นต้น ตามถนนหนทางและบ้านเรือนต่างๆ เป็นการละเล่นที่สืบเนื่องมาจากความเชื่อว่าสัตว์โลกและสัตว์หิมพานต์พากันรื่นเริงยินดีออกมาร่ายรำเป็นพุทธรูปรับเสด็จ

การฟ้อนดาบ ( ฟอนก้าแลว ) ของชาวไทยใหญ่
ก่อนจะถึงวันแรม 8 ค่ำ จะมีพิธี หลู่เตนเหง คือ การถวายเทียนพันเล่ม โดยแห่ต้นเทียนไปถวายที่วัด และใน วันกอยจ้อด คือวันแรม 8 ค่ำ อันเป็นวันสุดท้ายของเทศกาลออกพรรษา จะมีพิธี ถวายไม้เกี๊ยะ โดยนำฟืนจากไม้เกี๊ยะ (สนภูเขา) มามัดรวมกันเป็นต้นสูงประมาณไม่ต่ำกว่า 2.5 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณไม่ต่ำกว่า 30 เซ็นติเมตร แล้วนำเข้าขบวนแห่ประกอบด้วยฟ้อนรูปสัตว์ต่างๆ และเครื่องประโคมไปทำพิธีจุดถวายเป็นพุทธบูชาที่ลานวัด เป็นอันสิ้นสุดเทศกาลออกพรรษาของชาวไต

ขอบคุณ : สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดแม่ฮ่องสอน

วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประเพณีลอยกระทงสาย ประเพณีไทยของชาวจังหวัดตาก

ประเพณีลอยกระทงสาย

ประเพณีลอยกระทงสาย เป็นประเพณีไทยที่สืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณของชาวจังหวัดตาก โดยจุดเริ่มต้นของประเพณีลอยกระทงสายเกิดขึ้นที่อำเภอบ้านตาก และเป็นต้นแบบในการจัดงานประเพณีลอยกระทงสายให้กับอำเภอใกล้เคียง

ประเพณีลอยกระทงสาย
ประเพณีลอยกระทงสาย จังหวัดตาก
ประจุบันประเพณีลอยกระทงสาย เป็นที่นิยมและได้รับการสนับสนุนอย่างดีในระดับจังหวัด และในการต้อนรับผู้นำเอเปค 21 ประเทศประเพณีลอยกระทงสายของชาวจังหวัดตากก็ได้แสดงให้เห็นถึงประเพณีไทยอันงดงามตระการตาให้ชาวโลกได้เห็น

ประเพณีลอยกระทงสาย
ภาพอันสวยงามของประเพณีลอยกระทงสาย

ประเพณีลอยกระทงสาย มีการพัฒนามาจากประเพณีลอยกระทง โดยการใช้วัสดุจากธรรมชาติเช่นกะลามะพร้าว ซึ่งมะพร้าวนั้นมีมากในจังหวัดตาก โดยจะห็นได้จากอาหารพื้นเมืองของจังหวัดตากซึ่งจะประกอบ้วยมะพร้าวอยู่มาก เช่น ไส้เมี่ยง หรือเมี่ยงคำ เป็นต้น และการจัดงานประเพณีลอยกระทงสายนี้ก็มีผนวกงานประเพณีรื่นเริงแบบไทยๆ เข้ามาด้วย ทำให้การจัดงานนั้นครื้นเครงและสนุกสนานไม่เบาเลยทีเดียว

การจัดประเพณีลอยกระทงสายแต่เดิมเริ่มที่อำเภอบ้านตากนั้น จะตรงกับช่วงวันเพ็ญ 15 ต่ำของทุกปี หลังจากที่จัดงานลอยกระทงเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นการจัดลอยกระทงสายจึงจัดกันใน แรม 11 ค่ำ มีกิจกรรมที่สำคัญคือ ในวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตอนเช้าจะทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ ตอนบ่ายจะมีการแข่งเรือของแต่ละหมู่บ้าน ส่วนในช่วงตอนเย็นจะมีการจุดประทีปที่บ้านและลอยกระทงของแต่ละคน ส่วนในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 12 ตอนพลบค่ำ พระสงฆ์และชาวบ้านมาสวดมนต์และปล่อยโคมลอย เมื่อเสร็จพิธีจึงมีการปล่อยกระทงสาย

กระทงสายนั้นจะมี 3 ประเภทด้วยกันคือ

กระทงนำ จะทำอย่างสวยงามประดิษประดอยบนแพหยวกกล้วย หรือวัสดุจากธรรมชาติ ตกแต่งด้วยดอกไม้หรือใบตอง และจำนำไปลอยเป็นอันดับแรก

ประเพณีลอยกระทงสาย
เปรียบเทียบขนาดของกระทงนำ (ใหญ่) กับกระทงปิดท้าย (เล็ก)
  
กระทงตาม จะประกอบด้วยตัวกระทง ซึ่งทำจากกะลามะพร้าวที่ไม่มีรู ส่วนไส้กระทงสามารถใช้วัสดุได้หลายชนิดเช่น ขี้ใต้ แกนข้าวโพด กาบมะพร้าว ซางข้าวโพด ตีนกา หรือผ้าชุบน้ำมันเป็นต้น

ประเพณีลอยกระทงสาย
กระทงตามจะมีจำนวนมาก

 กระทงปิดท้าย จะตกแต่งสวยงามเหมือนกระทงนำ แต่มีขนาดเล็กกว่าและจะทำการลอยลงแม่น้ำหลังจากที่ลอยกระทงตามไปเรียบร้อยแล้ว

ประเพณีลอยกระทงสาย
กระทงปิดท้ายสวยงามเหมือนกระทงนำ แต่จะลอยทีหลังกระทงตาม
ประเพณีนีไทยอันดีงาม และงดงามดังเช่นประเพณีลอยกระทงสาย เป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีอันดีงามมายาวนานตั้งแต่สมัยสุโขทัย เนื่องจากแหล่งที่ตั้งของละแวกต่างๆในจังหวัดตากมีพื้นที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำ จึงทำให้เกิดประเพณีไทยที่ดีเช่นนี้สืบเนื่องต่อมาจนถึงปัจจุบัน

ประเพณีลอยกระทงสาย

วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประเพณีไหลเรือไฟ - ประเพณีไทยของชาวอีสาน

ประเพณีไหลเรือไฟ - ประเพณีไทยของชาวอีสาน
ประเพณีไหลเรือไฟ ภาษาท้องถิ่นของชาวอีสานเรียกว่า “เฮือไฟ"

เรือไฟ หรือที่ชาวอีสานเรียกว่า เฮือไฟ  หมายถึง เรือที่ทำจากไม่ไผ่ ต้นกล้วย หรือวัสดุต่างๆที่สามารถลอยน้ำได้ และเมื่อจุดไฟใส่โครงของเรือก็สามารถ ติดไฟตามโครงสร้างของเรือนั้นตามต้องการได้


ประเพณีไหลเรือไฟ เป็นประเพณีไทยและพีธีกรรมของชาวพุทธอย่างหนึ่ง ซึ่งชาวพุทธในแถบภาคอีสานบ้านเรานั้น ยึดถือและสืบทอดกันมายาวนานตั้งแต่โบราณ บางก็เรียกว่า "ลอยเรือไฟ" หรือ "ปล่อยเรือไฟ" หรือ "ล่องเรือไฟ" ซึ่งชาวบ้านก็เรียกประเพณีไทบเช่นนี้ตามลักษณะของเรือที่ลอยไปเรื่อยๆบนแม่น้ำลำคลอง

ประเพณีไหลเรือไฟ ประเพณีไทยที่ดีงามของชาวอีสาน


ประเพณีไหลเรือไฟ ปฏิบัติสืบเนื่องกันมาตั้งแต่โบราณ โดยงานประเพณีไหลเรือไฟจะจัดขึ้นในวันข้น 15 ค่ำเดือน 11 หรือ วันแรม 1 ค่ำเดือน 11 ซึ่งประเพณีไหลเรือไฟนี้จะมีความเกี่ยวข้องทางศาสนา การบูชารอยพระพุทธบาท การระลึกถึงพระคุณของพระแม่คงคา ( ประเพณีลอยกระทง ) เป็นต้น

เรือไฟจะประกอบด้วย 2 ส่วนหลักๆคือ ส่วนที่ใช้ทำเป็นทุ่นสำหรับลอยน้ำ จะทำจากไม้ที่ลอยน้ำได้ ผูกติดกันเป็นแพ และส่วนที่สองก็คือส่วนที่ใช้สำหรับจุดไฟ จะใช้ไม้ไผ่ทำเป็นรูปร่างต่างๆ มีการออกแบบรูปร่างให้สวยงาม ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับศาสนาพุทธ

ปัจจุบันการ ออกแบบรูปร่างของเรือไฟนิยมออกแบบให้เข้ากับเหตุการณ์ต่างๆ และมีเทคนิคในการทำลวยลายมากขึ้น และมีการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาช่วย เช่น การใช้เรือจริงๆแทนต้นกลวยหรือต้นไผ่ การใช้้าชบน้ำมันดีเซลแทนน้ำมันยาง การใช้ไฟฟ้าช่วยในการประดบตกแต่งเป็นต้น

โครงของเรือไฟทำจากไม้ไผ่ เล็กๆมัดให้เป็นลายแล้วใช้ผ้าเก่าๆ  มาฉีกเป็นริ้ว ชุบน้ำมัน

ประเพณีการไหลเรือไฟของภาคอีสาน เป็นประเพณีไทยที่จะคาบเกี่ยวระว่างเดือน 11 และเดือน 12 เมื่อถึงวันงาน ชาวบ้าน พระภิกษุสงฆ์และสามเณรจะช่วยกันทำเรือไฟ เพื่อปล่อยลงแม่น้ำ โดยในช่วงเช้าของวันงานนั้นจะมีการทำบุญตักบาตรเพื่อเป็นศิริมงคล มีการเลี้ยงเพลในช่วงบ่าย มีการละเล่นต่างๆเพื่อความสนุกสนาน เช่นการรำวง ลิเก หมอลำ ต่างๆ พอเข้าสู่ช่วงเวลาเย็นก็จะมีการรับศีล สวดมนต์ และฟังเทศน์ พอถึงเวลาช่วงหัวค่ำ ชาวบานจะนำ ผ้า เครื่องใช้ ขนม อาหาร ข้าวต้มมัด  กล้วย อ้อย หมากพลู  บุหรี่ ฯลฯ ใส่ถาดบบรจุไว้ในเรือไฟ พอได้เวลา ก็จะจุดไฟให้กับเรือไฟ และก็ปล่อยเรือไฟลอยไปตามแม่น้ำ

ไหลเรือไฟเป็นประเพณีไทอย่างหนึ่ง ที่พุทธศาสนิกชนชาวอีสาน ยึดถือปฏิบัติสืบทอดกันมาแต่โบราณ

จังหวัดที่เคยสืบทอดประเพณีไทย การไหลเรือไฟอย่างเป็นทางการนี้ ได้แก่ สกลนคร นครพนม หนอง เลย มหาสารคาม ศรีสะเกษ สกลนคร นครพนม หนอง เลย มหาสารคาม และ อุบลราชธานี

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล

http://allknowledges.tripod.com
http://www.dmc.tv

วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประเพณีไทย - การประกวดนางนพมาศ

ในประเพณีวันลอยกระทง เป็นประเพณีไทยที่สืบทอดกนมายาวนาน นอกจากจะมีการจัดงานลอยกระทงแล้ว ก็ยังมีประเพณีไทอีกอย่างนึงก็คือ การประกวดนางนพมาศ ซึ่งเปรียบเสมือนการประกวดสาวงามประจำงานลอยกระทง และก็เป็นสีสันของประเพณีลอยกระทงได้เป็นอย่างดี

นางนพมาศ หรือ เรวดี นพมาศ เกิดในรัชกาลพญาเลอไท กษัตริย์ที่ 4 แห่งราชวงศ์พระร่วง นางนพมาศ เป็นธิดาของพระศรีมโหสถกับนางเรวดี บิดาเป็นพราหมณ์ปุโรหิตในสมัยพระยาเลอไท มีรูปสมบัติและคุณสมบัติที่งดงาม ได้รับการอบรมจากบิดา มีความรู้ทางอักษรศาสตร์ พุทธศาสนา ศาสนาพราหมณ์ การช่างของสตรี ตลอดจนการขับร้องดนตรี สันนิษฐานว่า นางนพมาศ ได้ถวายตัวเข้ารับราชการในสมัยพระยาลิไท ในยุคสุโขทัย และเป็นที่โปรดปรานจนได้เป็นสนมเอก ตำแหน่ง ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ซึ่งกล่าวกันว่า นางนพมาศ เป็นบุคคลที่ฉลาดถ่อมตัวเป็นอย่างยิ่ง จนได้สมญาว่า "กวีหญิงคนแรกของไทย" ดังเช่นที่มีข้อความเขียนไว้ว่า...

          "ทั้งเป็นสตรี สติปัญญาก็น้อยกว่าบุรุษ แล้วก็ยังอ่อนหย่อนอายุ กำลังจะรักรูปและแต่งกาย ซึ่งอุตสาหะพากเพียร กล่าวเป็นทำเนียบไว้ ทั้งนี้เพื่อหวังจะให้สตรีอันมีประเภทเสมอด้วยตน พึงให้ทราบว่าข้าน้อยนพมาศ กระทำราชกิจในสมเด็จพระร่วยงเจ้ากรุงมหานครสุโขทัย ตั้งจิตคิดสิ่งซึ่งเป็นการควรกับเหตุ ถูกต้องพระราชอัชฌาสัยพระเจ้าอยู่หัว ก็ได้ปรากฎชื่อแสียงว่าเป็นสตรีนักปราชญ์ ฉลาดในวิชาช่างอยู่ชั่วกัลปาวสาน"

          ทั้งนี้ นางนพมาศ ได้ทำคุณงามความดีเป็นที่โปรดปรานของพระร่วงในกาลต่อมา ที่สำคัญ ๆ มีอยู่ 3 ครั้ง คือ...

          ครั้งที่ 1 เข้าไปถวายตัวอยู่ในวังได้ห้าวัน ก็ถึงพระราชพิธีจองเปรียงลอยพระประทีป (ลอยกระทง) นางได้คิดประดิษฐ์โคมลอยรูปดอกกระมุท (ดอกบัว) มีนกเกาะดอกไม้สีสวยๆ ต่างๆ กัน เป็นที่โปรดปรานของพระร่วงมาก

          ครั้งที่ 2 ในเดือนห้ามีพิธีคเชนทร์ศวสนาน เป็นพิธีชุมนุมข้าราชการทุกหัวเมือง มีเจ้าประเทศราชขึ้นเฝ้าถวายเครื่องราชบรรณาการด้วย ในพิธีนี้พระเจ้าแผ่นดินทรงรับแขกด้วยเครื่องหมากพลู  นางนพมาศได้คิดประดิษฐ์พานหมากสองชั้นร้อยกรองด้วยดอกไม้งดงาม พระร่วงทรงโปรดปรานและรับสั่งว่า ต่อไปผู้ใดจะทำการมงคลก็ดี รับแขกก็ดี  ให้ใช้พานหมากรูปดังนางนพมาศประดิษฐ์ขึ้น ซี่งเป็นต้นเหตุของพานขันหมากเวลาแต่งงาน ซึ่งยังคงใช้จนถึงปัจจุบัน

          ครั้งที่ 3 นางนพมาศ ได้ประดิษฐ์พนมดอกไม้ถวายพระร่วงเจ้าเพื่อใช้บูชาพระรัตนตรัย พระร่วงทรงพอพระทัยในความคิดนั้น ตรัสว่าแต่นี้ต่อไปเวลามีพิธีเข้าพรรษาจะต้องบูชาด้วยพนมดอกไม้กอบัวนี้

          นอกจากนี้ นางนพมาศ ยังได้เขียนตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ขึ้นเพื่อเป็นหลักประพฤติปฏิบัติตนในการเข้ารับราชการของนางสนมกำนัลทั้งหลาย โดย ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ นี้แต่งด้วยร้อยแก้วมีกลอนดอกสร้อยแทรก ซึ่งมีการสันนิษฐานว่าแต่งขึ้นใหม่ในสมัยรัตนโกสินทร์ เพราะภาษาที่ใช้แตกต่างจากภาษาที่ใช้ในวรรณคดีที่แต่งในยุคเดียวกันคือ คือศิลาจารึกหลักที่ 1 และ ไตรภูมิพระร่วง โดยเนื้อเรื่องใน ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ กล่าวถึงประเพณีต่าง ๆ ของไทย เช่น การประดิษฐ์ พานหมากสองชั้นรับแขกเมือง การประดิษฐ์โคมลอยรูปดอกกระมุท (ดอกบัว) เพื่อใช้ในพระราชพิธีจองเปรียงลอยพระประทีป (ลอยกระทง) ซึ่งประเพณีไทยนี้ได้สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

การประกวดนางนพมาศ
การประกวดนางนพมาศ

การประกวดนางนพมาศ

การประกวดนางนพมาศ

การประกวดนางนพมาศ

การประกวดนางนพมาศ

วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประเพณีลอยกระทง - ประเพณีไทยในวันพระจันทร์เต็มดวง

ประเพณีลอยกระทง เป็นประเพณีไทยที่สำคัญและเก่าแก่ของไทย ประเพณีลอยกระทงตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ซึ่งเป็นช่วงน้ำที่น้ำขึ้นสูงเนื่องจากพระจันทร์เต็มดวง

ประเพณีลอยกระทงมีที่มากจากพิธีกรรมเกี่ยวกับน้ำ ถึงแม้ความเชื่อสำหรับวันลอยกระทงจะแตกต่างกัน ในแต่ละท้องถิ่น แต่สิ่งที่เหมือนกันของประเพณีลอยกระทงนี้คือ การนึกถึงคุณค่าของน้ำ ที่ช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตของพวกเราชาวไทยมาตลอด ประเพณีลอยกระทงจึงเป็นประเพณีไทยที่ดีงามอีกย่างหนึ่ง ซึ่งควรปฏิบัติสืบทอดกันต่อๆไป

สำหรับบรรยากาศในงานประเพณีลอยกระทงนั้น ก็จะแสดงออกถึงประเพณีไทยและวัฒนธรรมของแต่ละภาคได้อย่างชัดเจน เช่น

ประเพณีลอยกระทงของภาคเหนือ
 
ประเพณีลอยกระทงของภาคเหนือ นิยมทำโคมลอย เรียกว่า
"ว่าวฮม" หรือ "ลอยโคม" หรือ "ว่าวควัน" ทำจากผ้าหรือกระดาษสาบางๆ แล้วสุมควัน โดยใช้ขี้ใต้หรือกะลามะพร้าวไว้ด้านล่าง ควันจะทำให้โคมลอย ลอยขึ้นไปในอากาศ หลักการเดียวกับบอลลูน ประเพณีไทยเช่นนี้ชาวเหนือนี้เรียกว่า "ประเพณียี่เป็ง" ซึ่งหมายความว่า การทำบุญในวันเพ็ญเดือนยี่ ( นับวันตามแบบล้านนา ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือนสิบสองในแบบไทย )

สำหรับ "จังหวัดตาก" จะลอยกระทงขนาดเล็ก ลอยเรียงรายไปเป็นสาย เรียกว่า "กระทงสาย"
สำหรับ "จังหวัดสุโขทัย" จะมีการจัดขบวนแห่ "โคมชักโคมแขวน"
และการเล่นพลุตะไล ไฟพะเนียง
ประเพณีลอยกระทง จังหวัดเชียงใหม่
ประเพณีไทยสุดงดงาม ประเพณี "ยี่เป็ง" จังหวัดเชียงใหม่
ประเพณีลอยกระทงของภาคอีสาน
 
สำหรับประเพณีลอยกระทงของชาวไทยภาคอีสาน จะมีการแต่งเรือประดับไฟ เป็นรูปต่างๆ เรียกว่า "ประเพณีไหลเรือไฟ" เป็นประเพณีไทยที่สวยงามมาก โดยเฉพาะ
"ประเพณีไหลเรือไฟ" ที่จังหวัดนครพนม เพราะมีความงดงามและอลังการมากที่สุดในภาคอีสาน

ประเพณี "ไหลเรือไฟ" ความภาคภูมิใจของชาวไทยอีสาน
ประเพณีลอยกระทงของกรุงเทพมหานคร
 
งานภูเขาทองของกรุงเทพมหานคร เป็นงานประเพณีลอยกระทงที่ตึกคักตระการตาเป็นอย่างยิ่ง จะจัในรูปแบบงานวัดบบไทยๆ จะจัดงานเฉลิมฉลองราว 7-10 วัน ก่อนงานลอยกระทง และจบลงในช่วงหลังวันลอยกระทง



"งานลอยกระทงภูเขาทอง" ประเพณีลอยกระทงของชาวกรุงเทพ
ประเพณีลอยกระทงของภาคใต้

กระทงของชาวใต้ จะมีความแปลกใหม่โดยการนำเอาหยวกมาทำเป็นกระทงบรรจุเครื่องอาหาร แล้วลอยไป และการลอยกระทงของทางภาคใต้ จะไม่มีกำหนดว่าเป็นกลางเดือน ๑๒ หรือเดือน ๑๑ แต่จะลอยเมื่อมีโรคภัยไข้เจ็บ เพื่อขอพรให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นอยู่ เป็นการลอยเพื่อสะเดาะเคราะห์การตกแต่งเรือหรือแพลอยเคราะห์ จะมีการแทงหยวก เป็นลวดลายสวยงามประดับด้วยธงทิว ภายในบรรจุดอกไม้ ธูปเทียน เงินและเสบียงต่างๆ ตามความเชื่อของคนในท้องถิ่น

และนอกจากนี้ ประเพณีลอยกระทงของชาวไทยในแต่ละท้องถิ่น ก็ยังอาจมีประเพณีลอยกระทงที่แตกต่างกันไป และสืบทอดต่อกันเรื่อยมา ที่สำคััญงานลอยกระทงของทุกๆท้องถิ่นจะมีการจัดประกวดสาวงามซึ่งเรียกว่า "นางนพมาศ"

สำหรับวันลอยกระทงในปฏิทินสุริยคติ


ปีชวด
24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539
12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
31 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ปีฉลู
14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540
2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

ปีขาล
3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541
21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

ปีเถาะ
22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542
10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

ปีมะโรง
11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543
28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ปีมะเส็ง
31 ตุลาคม พ.ศ. 2544
17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

ปีมะเมีย
19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545
6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ปีมะแม
8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546
25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ปีวอก
26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547
14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ปีระกา
16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548
3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ปีจอ
5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549
22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ปีกุน
24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550
11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562